สิ่งที่แรกที่ต้องกล่าวถึง 24 คือความแปลกใหม่สุดยอดในการวางคอนเซ็ปต์ เนื้อเรื่องของ 24 นั้นเริ่มที่เที่ยงคืน และวกกลับมาที่เที่ยงคืน โดยจะมีทั้งหมด 24 ตอน แต่ละตอนนั้นตามเนื้อเรื่องแล้วประกอบไปด้วยหนึ่งชั่วโมง แต่ที่จริงแล้วเล่นประมาณ 40 นาที โดย 20 นาทีที่หายไปนั้นคือโฆษณาตอนฉายจริงเป็นรายสัปดาห์ โดยเวลาซึ่งหายไปที่ใช้โฆษณานั้นก็จะถูกรวมอยู่ในเนื้อเรื่องด้วย เป็นช่วงที่ไม่มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เดินเรื่องโดยใช้ “เวลาจริง” (เช่นเดียวกับ United 93 และ Before Sunset) ตลอด 24 ชม.24 เล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่ตัวเอก แจ็ค บาวเออร์ (เคียเฟอร์ ซัทเธอแลนด์) บรรยายว่า “เป็นวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผม” เขาเป็นเจ้าหน้าที่ CTU (Counter-Terrorist Unit) หรือหน่วยต่อต้านผู้ก่อการร้าย วันที่เขาพูดถึงนั้นเป็นวันอังคารเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งตัวเก็งอันดับหนึ่ง เดวิด ปาล์มเมอร์ (เดนนิส เฮส์เบิร์ต) ผู้ยังอาจได้เป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกนั้นตกเป็นเป้าหมาย แต่ปรากฏว่าผู้ก่อการร้ายวางแผนซับซ้อนกว่าแค่ลอบสังหารมากนัก เพราะไม่นานทั้งกรม CTU หรือแม้แต่ครอบครัวของแจ็คเองก็ไม่อาจหลุดพ้นจากปฏิบัติการนี้ได้ช่วงแรกของ 24 แบ่งการเล่าเรื่องเป็นห้าส่วน ส่วนแรกคือแจ็ค ผู้ต้องสืบสวนแผนการลอบสังหาร พร้อมทั้งหาไส้ศึกที่ซ่อนอยู่ใน CTU ไปพร้อมๆกัน เหตุการณ์นี้ยิ่งซับซ้อนกว่าที่ควรจะเป็นเพราะความตึงเครียดระหว่างเขา, คนใต้บังคับบัญชาของเขา นีน่า มายเออส์ (ซาร่าห์ คลาก) ที่เคยเป็นคนรักและเลิกกันไปเมื่อเขาคืนดีกับภรรยาหลังแยกกันอยู่, และคนใต้บังคับบัญชาของนีน่า -- โทนี่ อัลไมดา (คาร์ลอส เบอร์นาร์ด) ที่หลงรักนีน่ามานาน จึงมีอคติกับแจ็ค และพร้อมจะรายงานเขาให้หัวหน้าเล่นงานได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อแจ็คเองเป็นผู้ชอบแหกกฎอยู่แล้ว ส่วนที่สองเล่าถึงลูกสาวของแจ็ค -- คิม บาวเออร์ (อีลิชา คัธเบิร์ต) ที่แอบหนีออกจากบ้านหลังเที่ยงคืนเพื่อไปพบกับเพื่อนที่นัดผู้ชายสองคนเอาไว้ แต่ค่ำคืนแห่งการปาร์ตี้เปลี่ยนไปเมื่อพวกเธอไม่ได้กลับบ้าน...และดูเหมือนเหตุของเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับงานของพ่อเธอ ส่วนที่สามนั้นคือเมื่อแม่ของเธอ เทอรี่ บาวเออร์ (เลสลี่ โฮป) ออกตามหาเธอพร้อมกับพ่อของเพื่อนคนนั้น แต่ทั้งคู่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับแผนการต่างๆด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนที่สี่ติดตาม เดวิด ปาล์มเมอร์ ซึ่งความลับในอดีตของครอบครัวที่เขาไม่รู้มาก่อนกำลังจะสั่นคลอนชีวิตเขาอย่างหนัก และส่วนสุดท้ายนั้น...บอกจากมุมมองของผู้ก่อการร้ายโดยตรงสำหรับละครทีวีที่มีความยาวราวๆ 16-17 ชั่วโมง การแสดงนั้นค่อนข้างถือว่าดีเลยทีเดียว การแสดงของเคียเฟอร์ ซัทเธอแลนด์ในบทของเจ้าหน้าที่ผู้ต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายทำให้แจ็ค บาวเออร์กลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่ติดปากทั่วบ้านทั่วเมือง (ในแบบเดียวกับที่ Jennifer Aniston ดังจาก Friends) ดูเผินๆแจ็ค บาวเออร์อาจเป็นคนธรรมดาที่ออกเคร่งจริงจังไปนิด แต่ถ้าได้รู้จักจริงๆ คุณจะรู้ว่าเขาเป็นคนแหกกฎตัวร้าย ปากแหลมคม เป็นนักล่าที่กัดไม่ปล่อยอย่างน่ากลัว และจะทำ(แทบ)ทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งผู้ก่อการร้ายถึงที่สุด แต่ภายใต้ความมุ่งมั่นไม่สนหัวใคร กลับมีความอ่อนไหวลึกๆและความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์(แบบแปลกๆ)ซ่อนอยู่ และถ้าเขาชอบใครหรือรักใครแล้ว จะจริงจังกับความรู้สึกนั้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวของเขา(ซึ่งกลายมาเป็นจุดอ่อนในหลายๆโอกาส) เคียเฟอร์ ซัทเธอแลนด์ไม่มีปัญหาเลยในการเล่นตัวละครบทเด่นๆมีเอกลักษณ์แบบนี้ ทำให้แจ็ค บาวเออร์เป็นตัวละครไอคอนประเภทที่คนติดตาม ชื่นชม หวาดบ้าง แต่สุดท้ายก็อดรักหรือเชียร์ไม่ได้ตัวละครอื่นๆที่เหลือไม่มีใครแย่เป็นพิเศษให้เอ่ยถึง ทุกคนทำหน้าที่ในบทบาทของตนได้ไม่ขาดไม่เกิน แต่สามคนที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือผู้แสดงเป็นเดวิด ปาล์มเมอร์ กับภรรยาของเขา ซึ่งแสดงความสัมพันธ์อันซับซ้อนของสามีภรรยาในวงสังคมสูงได้อย่างน่าเชื่อถือและจริงจนเศร้าทีเดียว สุดท้ายคือเลสลี่ โฮปผู้แสดงเป็นภรรยาของแจ็ค ไม่ว่าคุณมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเธอยังไงในตอนต้น แต่เมื่อเรื่องราวเดินหน้าไป ตัวละครคนนี้จะทำให้คุณชอบขึ้นเรื่อยๆ เพราะเธอมีส่วนคล้ายแจ็ค ภายนอกดูบอบบางเล็กน้อย แต่ไหวพริบ ความกล้าหาญ และความเฉลียวฉลาดแทบจะไม่แพ้กันเลยแล้วก็มาถึงตัวเรื่อง ไม่ว่าจะมีคอนเซ็ปต์หรือตัวละครดีแค่ไหน สิ่งที่ทำให้คนติดตาม 24 ปีแล้วปีเล่าคือเนื้อเรื่องที่เข้มข้นทุกวินาที เต็มไปด้วยจุดหักมุมมากมาย และการคำนวณเนื้อเรื่องอย่างฉลาด จนวินาทีท้ายๆของทุก episode จะมีเหตุการณ์ตื่นเต้น หวาดเสียว หรือช็อคสุดขีดให้เราอยากติดตามเนื้อเรื่องต่อแทบไม่ไหว จุดหักมุมและเหตุการณ์พลิกผันคอยแต่จะมาเรื่อยๆ ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งเดาได้ยากขึ้นและไม่คาดฝันมากขึ้นเรื่อยๆด้วย ความเด่นอีกอย่างคือการที่ผู้สร้างไม่สนใจที่จะสร้างเนื้อเรื่องตามความคาดหวังของผู้ชม มีความรู้สึกในทุกตอนว่าตัวละครตัวนั้นตัวนี้อาจไม่รอดผ่านเหตุการณ์นี้...อาจตายได้ทุกเมื่อ แม้แต่ตัวพระเอกเอง จุดนี้จะยิ่งเน้นขึ้นใน season ต่อๆไปและผมต้องขอเน้นจุดหักมุมในตอนจบของชั่วโมงก่อนสุดท้าย -- ชั่วโมงที่ 23 -- เป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าจะมีใครคาดเดาได้ก่อนไหม แต่สำหรับตัวผมเองนั้นต้องขอบอกว่ามันเป็นหนึ่งในการหักมุมที่หยุดลมหายใจของผมได้จริงๆ เทียบเคียงได้กับการอ่านตอนจบในผลงานของอกาธา คริสตี้อย่าง ใครฆ่าโรเจอร์ แอ็คครอยด์ หรือ ฆาตกรรมยกเกาะ เลยทีเดียว(แม้การหักมุมจะคนละอย่างกัน) ผมนั่งขนลุกซู่ตลอดเวลาสองสามนาทีนั้น ยังอึ้งนานแม้ episode จะจบไปแล้ว (แน่นอนว่ามันคงจะเป็นจุดที่มีการกล่าวถึงมากที่สุดของ season นี้แน่)ฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องนี้เกิดขึ้นภายในไม่กี่นาที แต่เป็นช่วงเวลาที่ความตึงเครียดซึ่งมีมาตลอด 23 episode ได้ถึงคราวปลดปล่อยเสียที และช่างเป็นฉากไคลแม็กซ์ที่ดุเดือดเลือดพล่านและชวนสั่นประสาทสุดๆ ทั้งที่มันมีเพียงสองคนในไม่กี่นาทีแค่นั้น! และฉากหลังจากนั้นยังน่าพอใจที่มันเป็นไปตามหลักเกณฑ์ความเป็นจริง ไม่ใช่ตามความคาดหมายของผู้ชม แม้จะเป็นความจริงที่รสขมขื่นก็ตามทีไม่ใช่ว่าทีวีซีรี่ส์เรื่องนี้ไม่มีจุดบกพร่อง แต่สิ่งที่มันทำถูกนั้นมีมากกว่าหลายเท่านักจนบดบังความบกพร่องแทบทุกอย่างได้หมด เช่น ใครจะมามัวสนใจว่าแผนการของผู้ก่อการร้ายพิลึกพิลั่นเพียงใด หรือ เนื้อเรื่องบางทีจะต้องใช้เหตุผลเกินความจริงบ้างเพียงไหน ในตอนที่หัวใจกำลังเต้นแรงและขอให้เหล่าผู้คนในเรื่องผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้โดยดี การดูทีวีไม่เคยเป็นเรื่องสนุกเท่านี้เลย ตอนนี้คงหวังเพียงว่าผู้สร้างจะคงคุณภาพและความแปลกใหม่ในการเล่าเรื่องนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ เพื่อที่ผู้ชมจะได้คอยติดตามภารกิจของแจ็ค บาวเออร์อย่างตาไม่กะพริบ พร้อมกลั้นหายใจยามเขาประสบเหตุการณ์จนมุมจนเจ้าตัวต้องสบถถ้อยคำประจำกาย “Dammit!”